SPF คืออะไรค่ายิ่งสูงยิ่งดีหรือไม่

SPF คืออะไร? ค่ายิ่งสูงยิ่งดีจริงไหม? ทำไมครีมกันแดดจำเป็นต้องมี?

SPF คำนี้ที่หลายคนคุ้นชิน ที่มักจะพบเห็นบนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด หรือได้ยินตามโฆษณาที่มักจะบอกว่ามีค่า SPF เท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ว่าค่า SPF คืออะไร ทำไมถึงมักนิยมมีในครีมกันแดด ยิ่งมีค่าสูงยิ่งดีจริงไหม แล้วทำไมครีมกันแดดจำเป็นต้องมี SPF บทความนี้ Dermageneration จะพาค้นหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

SPF คืออะไร?

ความหมายของSPF

SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor คือค่าตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด โดยเฉพาะรังสียูวีบี (UVB) เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด จนเกิดปัญหาผิวไหม้ โดยครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงจะสามารถป้องกันรังสี UVB ได้นานและดีกว่า ครีมกันแดดที่มี SPF ต่ำ โดยปกติค่า SPF จะอยู่ที่ 2-50 ซึ่งจะสามารถดูดซับรังสี UVB ได้แตกต่างกันออกไป

คุณสมบัติของ SPF ช่วยป้องกันรังสีอะไร?

หากถามว่า SPF นั้นป้องกันรังสีอะไร คำตอบคือ SPF ที่อยู่ในครีมกันแดดนั้น จะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB หรือ รังสีอัตราไวโอเลตชนิดบี ที่เป็นตัวการในการทำร้ายผิว จนทำให้เกิดผิวไหม้แดด รอยแดง รอยดำบนผิว

โดย SPF ในครีมกันแดดจะช่วยบอกระดับการป้องกัน UVB และ บอกเวลาในการป้องกันผิวจากรังสี UVB เช่น SPF50 หมายถึงสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB จากแดดได้ 98% และป้องกันผิวจากแสงแดดได้ 500 นาที เป็นต้น

ค่า SPF กับ PA มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

ความแตตกต่างSPFกับPA

ค่า SPF และค่า PA หลายคนต่างสงสัยว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เพราะถูกระบุอยู่บนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดทั้งคู่ จริง ๆ แล้วทั้ง 2 เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันผิวจากรังสี UV เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

  • ค่า SPF
    ค่า SPF ในครีมกันแดด เป็นค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพการป้องกันผิวจากรังสี UVB โดยป้องกันผิวไหม้แดด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งผิวหนังจากการได้รับรังสี UVB มากเกินไป
  • ค่า PA
    ค่า PA ในครีมกันแดด ย่อมาจาก Protection Grade of UVA เป็นค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพการป้องกันผิวจากรังสี UVA โดยป้องกันการเกิดริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงผิวหมองคล้ำ สามารถช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์
    อีกทั้งค่า PA มักจะใช้เครื่องหมายบวก (+) ในการแสดงจำนวนเท่าที่สามารถป้องกันผิวจาก UVA ได้ ตัวอย่างเช่น
    o ค่า PA+ หมายความว่าสามารถปกป้องผิวไม่ให้หมองคล้ำมากกว่าผิวปกติที่ไม่มีการป้องกัน 2-4 เท่า
    o ค่า PA++ สามารถปกป้องผิวได้มากกว่า 4-8 เท่า
    o ค่า PA+++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าปกติ 8-16 เท่า
    o ค่า PA++++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่า 16 เท่า

แนะนำ! วิธีการเลือก SPF ของครีมกันแดด ให้เหมาะสมที่สุด

วิธีการเลือก SPF ของครีมกันแดด

ค่า SPF ในครีมกันแดดนั้นมีความแตกต่างกันในการปกป้องผิวจากรังสี UVB โดยแตกต่างกันในเรื่องของระดับการปกป้อง ระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้งาน รวมถึงระยะเวลาในการทนต่อแสงแดด โดยแต่ละค่ามีความแตกต่างกันดังนี้

ค่า SPF 8

ค่า SPF 8 คือ ค่าประสิทธิภาพในการดูดซึมรังสี UVB ได้ประมาณ 87.5% ถือเป็นค่าที่น้อย ไม่เพียงพอต่อการปกป้องผิวจากแสงแดดในเวลานาน ๆ จึงเหมาะกับการทาอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก หรือแบบที่ไม่โดดแสงแดดเลย

ค่า SPF 15

ค่า SPF 15 คือ ค่าที่สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 93.3% นับว่าเป็นค่าที่น้อยอีกตัวเช่นกัน และสามารถป้องกันผิวจากแสงแดดได้ 150 นาที จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ได้เจอแสงแดดมาก

ค่า SPF 30

ค่า SPF 30 คือ ค่าที่สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 96.7% เป็นค่า SPF ระดับกลาง ๆ และจะสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ 300 นาที จึงเหมาะกับผู้ที่เจอแสงแดดบ้าง เช่น ออกไปเดินเล่น แบบที่ไม่ต้องเผชิญแสงแดดจัดมาก

ค่า SPF 45

ค่า SPF 45 คือ ค่าที่สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 97.8% และสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ 450 นาที จึงเหมาะกับผู้ที่มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือผิวไหม้แดด เช่น คนที่มีผิวอมชมพู รวมถึงผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่แดดไม่จัด

ค่า SPF 50

ค่า SPF 50 คือ ค่าที่สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 98% ถือเป็นค่าที่มีประสิทธิภาพในปกป้องสูง และสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้นาน 500 นาที จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องเจอแสงแดดจัด หรืออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน เช่น ไปทะเล ออกกำลังกายเล่นกีฬากลางแจ้ง หรือผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง

ค่า SPF 100

ค่า SPF 100 คือ ค่าที่สามารถดูดซึมรังสีได้ 98.5% ถือเป็นค่าที่มีประสิทธิภาพการปกป้องสูงที่สุด เหมาะกับผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแดดจัดเป็นเวลานาน ๆ แต่ยิ่งมีค่า SPF สูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดการระคายเคืองตามมา จึงทำให้ SPF 100 มักไม่ค่อยได้รับความนิยมในการใส่มาในครีมกันแดด

ข้อดีของการมี SPF ในครีมกันแดดคืออะไร?

ในการผลิตครีมกันแดดนั้นควรจะต้องมีค่า SPF เพราะมีข้อดี และความสำคัญหลายอย่าง ทั้งในแง่ของความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และการแข่งขันในตลาดสำหรับผู้ผลิต โดยข้อดีของการมี SPF ในครีมกันแดดมีดังต่อไปนี้

  • SPF ช่วยบอกค่าการปกป้องผิวจากรังสี UVB ที่ทำร้ายผิว ทำให้ผิวไหม้แดด หากไม่มีการใช้ครีมกันแดดที่ไม่มีค่า SPF เลย
  • SPF ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่เป็นหนึ่งในโรคที่เกิดจาก UVB โดยสามารถป้องกันได้โดยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ หากต้องตากแดดเป็นประจำ
  • SPF ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ในแง่มุมของผู้ผลิตที่ผลิตครีมกันแดดที่มี SPF ก็จะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าครีมกันแดดนั้นสามารถกันแดดได้จริง
  • SPF ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ หากมีการทาครีมกันแดดเป็นประจำ จะช่วยลดความเสียหายของผิวจากแสงแดดได้ ทำให้ยืดอายุการใช้งานของผิว ทำให้ดูอ่อนเยาว์
  • SPF ในครีมกันแดดช่วยตอบสนองความต้องการของตลาด ในการจำหน่ายครีมกันแดดในประเทศไทย มีการกำหนดให้มีค่า SPF ตามมาตรฐานสากล ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจ และรับรองได้ว่าผู้บริโภคใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย

ครีมกันแดด มีกี่ประเภท ? อ่านเพิ่มเติม

ครีมกันแดดไม่มี SPF ได้หรือไม่?

การผลิตครีมกันแดดแบบไม่มี SPF ถือว่าไม่ควร เพราะผิดกับข้อกฎหมายของไทย ที่ระบุให้ผลิตภัณฑ์ที่เคลมว่าเป็นครีมกันแดดนั้นต้องมีการทดสอบ รวมไปถึงการระบุค่า SPF บนฉลากอย่างชัดเจน หากผลิตภัณฑ์ไม่มีค่า SPF อาจเสี่ยงต่อการเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค และอาจถูกประเมินว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง

ดังนั้นหากมีผลิตครีมกันแดดออกจำหน่าย ควรมีการทดสอบการป้องกันรังสี UVB และระบุค่าลงบนฉลากอย่างชัดเจนให้เรียบร้อย ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วยนั่นเอง

วิธีการทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง

วิธีการทาครีมกันแดด

เพื่อให้การทาครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมกับผิวแล้ว การทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธีก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ในการครีมกันแดดนั่นมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการง่าย ๆ ในการทาครีมดังนี้

  1. ทาครีมกันแดดก่อน : ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที
  2. ทาครีมกันแดดหนา : ควรทาในปริมาณที่เพียงพอ โดยใช้ในปริมาณ 2 ข้อนิ้วในการทาหน้าและคอ หรือแบ่งทาทีละ 1 ข้อนิ้วซ้ำสองครั้ง
  3. ทาครีมกันแดดซ้ำ : ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ การส่งผลให้เกิดเหงื่อ หรือเกิดการเสียดสีบริเวณผิวที่ทาครีมกันแดด ซึ่งจะทำให้ครีมกันแดดนั้นหลุดออกหรือถูกชะล้างออกจากผิวได้

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่า SPF

ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF เท่าไหร่ดีที่สุด?

ควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพอากาศ อย่างประเทศไทยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป เพราะจะสามารถป้องกันผิวจากแสงแดดได้ดีกว่า และครอบคลุมมากกว่า

SPF 30 กับ SPF 50 ต่างกันอย่างไร?

จะต่างกันที่ค่าประสิทธิภาพของการปกป้องผิวจาก UVB และระยะเวลาในการปกป้อง โดย SPF 30 นั้นสามารถดูดซับรังสีได้ประมาณ 96.7% และระยะเวลาในการปกป้องอยู่ที่ 300 นาที จึงเหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่ค่อยมีแดดมากนัก แต่ SPF 50 จะสามารถดูดซับรังสีได้ 98% และระยะเวลาในการปกป้องอยู่ที่ 500 นาที เหมาะกับการทำกิจกรรมการแจ้งที่มีแดดแรง จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ดีมากกว่า

ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงนั้นจำเป็นหรือไม่?

การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ นั้นหลายคนคิดว่าปกป้องผิวได้ดี แต่จริง ๆ แล้วนั้นประสิทธิภาพของครีมกันแดดไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่า SPF เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ สภาพผิวของผู้ใช้ ยิ่งหากเป็นผิวแพ้ง่าย การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ หรือคุณสมบัติของเนื้อครีม คุณสมบัติกันน้ำ รวมถึงกิจกรรมที่ทำ ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องผิวได้ดีเสมอไป

ควรผลิตครีมกันแดดที่มีค่า SPF เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม?

ค่า SPF มาตรฐานในครีมกันแดดนั้นที่เน้นการปกป้องผิวจากแสงแดด หรือจากรังสี UVB อยู่ที่ SPF 30 – SPF 50 ขึ้นไป แต่หากต้องการผลิตผลิตภัณฑ์ความงามอื่น ๆ ที่สามารถกันแดดได้ เช่น รองพื้น ก็สามารถใช้ค่า SPF ที่ต่ำว่า 30 ได้ แต่ควรระบุด้วยว่าไม่แนะนำสำหรับใช้งานกลางแจ้ง เหมาะแก่การใช้ในร่มเป็นหลัก

SPF ทนแดดได้กี่ชั่วโมง

โดยเฉลี่ยแล้วผิวคนเราจะเริ่มไหม้แดดภายในประมาณ 10 นาที หากโดนแสงแดดโดยที่ไม่ได้ทากันแดด โดย SPF แต่ละระดับนั้นจะมีระยะเวลาในการปกป้องผิวดังนี้

  • SPF 15 ปกป้องผิวได้นานประมาณ 2.5 ชั่วโมง
  • SPF 30 ปกป้องผิวได้นานประมาณ 5 ชั่วโมง
  • SPF 40 ปกป้องผิวได้นานประมาณ 6 ชั่วโมง
  • SPF 50 ปกป้องผิวได้นานประมาณ 8 ชั่วโมง

รังสี UV คืออะไร ?

คือ รังสีที่อยู่ในแสงแดด หากสัมผัสเป็นเวลานานก็จะสามารถทำลายผิว จนนำไปเกิดปัญหาผิวได้มากมาย โดยเราสามารถป้องกันรังสีเหล่านี้ได้ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีการป้องกันรังสี UV เพื่อไม่ให้ผิวนั้นโดนความร้อนจากแสงแดด และได้รับรังสี UV โดยตรง โดยรังสี UV นั้นมีหลัก ๆ อยู่ 3 ประเภทดังนี้ รังสีUVA, รังสี UVB, รังสี UVC ซึ่งแต่ละประเภทเราได้อธิบายอย่างเจาะลึกไว้ในบทความ (UVA UVB คืออะไร รู้จักก่อนพัฒนาครีมกันแดด สิ่งที่เจ้าของแบรนด์ควรรู้)

สรุป

SPF คือ ค่าตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันผิวจากรังสี UVB เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด จนเกิดปัญหาผิวไหม้ โดยครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงจะสามารถป้องกันรังสี UVB ดีกว่า และนานกว่า

และในการผลิตครีมกันแดดนั้นมีการกำหนดค่า SPF ให้ถูกต้องตามมาตรฐานของไทย และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพราะจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และสามารถสร้างการแข่งขันในตลาดได้

หากต้องการผลิตครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่ถูกต้องและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ Dermageneration โรงงานผลิตครีมกันแดดที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล ยินดีให้คำปรึกษา โดยสามารถช่วยคุณในการผลิตครีมกันแดดที่มี SPF ที่มีประสิทธิภาพ สามารถตรวจสอบค่า SPF ในห้องปฏิบัติการ รวมถึงมีการขอฉลากเพื่อติดบนผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรียกได้ว่าดูแลคุณแบบครบวงจร

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

FDA. Sun Protection Factor (SPF)07/14/2017.
https://www.fda.gov/about-fda/center-drug-evaluation-and-research-cder/sun-protection-factor-spf