ตั้งราคาสินค้าเครื่องสำอาง เทคนิคคิดราคาที่ดึงดูดลูกค้า

ตั้งราคาสินค้าเครื่องสำอาง เทคนิคคิดราคาที่ดึงดูดลูกค้า

การตั้งราคาสินค้าเครื่องสำอาง เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของแบรนด์ เพราะเมื่อทำการผลิตจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แล้วนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือการตั้งราคา ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ดังนั้นการตั้งราคาเครื่องสำอาง จึงต้องคำนวณ และพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อที่สามารถสร้างกำไรให้กับแบรนด์ของเราได

บทความนี้ Dermageneration ได้รวบรวมเทคนิคในการตั้งราคาสินค้าอย่างไรให้ตรงใจลูกค้า สามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มาฝาก เพื่อให้การตั้งราคาของเราส่งผลต่อแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จได้นั่นเอง

การตั้งราคาสินค้า คืออะไร?

ความหมาย การตั้งราคาสินค้า

การตั้งราคาสินค้า คือ การกำหนดมูลค่าในเชิงปริมาณของผลิตภัณฑ์ สินค้า รวมถึงบริการ โดยมีการพิจารณาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน อย่างเช่น ต้นทุนของสินค้า คุณภาพ และ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่วนปัจจัยภายนอก เช่น ราคาของคู่แข่งในตลาด สภาวะของตลาดในปัจจุบัน เป็นต้น โดยการพิจารณาหลายปัจจัยจะทำให้สามารถตั้งราคาที่เหมาะสม สามารถดึงดูดลูกค้า และสามารถแข่งขันในตลาดได้

ทำไมการตั้งราคาสินค้า ในสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ถึงสำคัญ

เหตุผลการตั้งราคาสินค้าถึงสำคัญ

การตั้งราคาสินค้าในสินค้าประเภทเครื่องสำอางสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก สินค้าประเภทเครื่องสำอางนี้ราคามีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ เพราะหากราคาถูกเกินไป อาจโดนตั้งคำถามว่าเป็นสินค้าที่คุณภาพดีไหม หรือหากแพงเกินไปอาจถูกมองว่าไม่คุ้มราคา อีกทั้งยังส่งผลต่อกำไรของธุรกิจ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงการแข่งขันในตลาด

สูตรวิธีการตั้งราคาสินค้า ที่ถูกต้อง

การตั้งราคาสินค้าให้สามารถดึงดูดลูกค้า และสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้นั้น ต้องเริ่มจากเรียนรู้ และเข้าใจวิธีการที่ถูกต้อง โดยสูตรวิธีการตั้งราคาสินค้าที่ถูกต้อง มีดังนี้

Step1. หาต้นทุนสินค้า

ต้นทุนของสินค้าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการนำมาคิดคำนวณในการตั้งราคา โดยควรคำนวณจากทุกต้นทุนที่มี ดังนี้

  • ต้นทุนวัตถุดิบ
    ต้นทุนที่มาจากวัตถุดิบและสารสกัดที่ใช้ เช่น สารสกัดนำเข้า สารสกัดจากธรรมชาติ โดยต้นทุนในส่วนนี้มีแนวโน้มที่สูงขึ้นได้ตามคุณภาพของวัตถุดิบ
  • ต้นทุนกระบวนการผลิตและแรงงาน
    ต้นทุนของกระบวนการผลิต การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ต้นทุนเครื่องจักร และหากเลือกผลิตที่มีมาตรฐานระดับสากล เช่น ISO, GMP ก็อาจมีต้นทุนที่สูง ส่วนต้นทุนค่าจ้างแรงงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น นักเคมีเครื่องสำอาง ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าเช่าโรงงาน เป็นต้น
  • ต้นทุนบรรจุภัณฑ์
    เป็นต้นทุนค่ากล่อง ค่าขวด และฉลาก ค่าออกแบบดีไซน์ และยิ่งหากเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นกระแสในปี 2025 นี้ ก็อาจจะทำให้ต้นทุนด้านนี้สูงขึ้นได้
  • ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา
    ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะเป็นต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความแตกต่าง และนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นการลงทุนวิจัยสูตรที่โดดเด่นกว่าตลาด มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพที่มากกว่าคู่แข่ง
  • ต้นทุนการจัดจำหน่ายและการตลาด
    เป็นต้นทุนด้านการประชาสัมพันธ์ ค่าโฆษณา การทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Social Media ค่าขนส่งสินค้า ค่าคลังสินค้า รวมถึงค่าส่งเสริมการขายหน้าร้าน รวมอยู่ในต้นทุนในการจำหน่ายและการทำการตลาดทั้งหมด
  • ต้นทุนค่าแบรนด์ ค่าสิทธิ์
    เป็นต้นทุนในกรณีที่แบรนด์มีการจดสิทธิบัตรนำเข้าต่าง ๆ เช่น นำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงค่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ และอินฟูเอ็นเซอร์เพื่อมาโปรโมตแบรนด์ของเรา
  • ต้นทุนอื่น ๆ
    ต้นทุนอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปกับการดำเนินการเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า เช่น อย. และ FDA เป็นต้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งระหว่างประเทศ ภาษีนำเข้า หากใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ

ยกตัวอย่างต้นทุนของสินค้า

ยกตัวอย่างต้นทุนของสินค้าให้เห็นภาพชัดขึ้น เช่น

  • ต้นทุนวัตถุดิบ 200 บาท
  • ต้นทุนกระบวนการผลิตและแรงงาน 100 บาท
  • ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ 50 บาท
  • ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา 300 บาท
  • ต้นทุนการจัดจำหน่ายและการตลาด 250 บาท
  • ต้นทุนค่าแบรนด์ ค่าสิทธิ์ 150 บาท
  • ต้นทุนอื่น ๆ 200 บาท

Step2. คำนวณต้นทุนรวม

ในการตั้งราคาสินค้า การคำนวณต้นทุนรวม (Total Cost) ก่อนที่จะมาตั้งราคานั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้สามารถตั้งราคาโดยที่ธุรกิจไม่เกิดการขาดทุนได้ โดยต้นทุนรวมจะประกอบไปด้วยต้นทุนสินค้าหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

ต้นทุนรวม (Total Cost) = (ต้นทุนวัตถุดิบ + ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ + ต้นทุนแรงงาน) + (ต้นทุนการจำหน่ายการตลาด + ต้นทุนค่าแบรนด์ + ต้นทุนวิจัยและพัฒนา + ต้นทุนอื่น ๆ)

เมื่อได้ต้นทุนรวมทั้งหมดแล้ว ต่อมาทำการพิจารณากำไรที่ต้องการ เช่น กำหนดกำไรไว้ที่ 30-40% จากต้นทุนรวม หรืออาจจะกำหนดมาก น้อยกว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า ภาพลักษณ์แบรนด์ รวมถึงการแข่งขันของตลาด

ยกตัวอย่างการคำนวณต้นทุนรวม

ยกตัวอย่างคำนวณต้นทุนรวมจากต้นทุนที่เรามีทั้งหมด โดยตัวอย่างดังต่อไปนี้

ต้นทุนรวม (Total Cost) = (200 + 50 + 100) + (250 + 150 + 300 + 200)
ต้นทุนรวม (Total Cost) = 1,250 บาท

หากกำหนดกำไรไว้ที่ 30% จากต้นทุนรวม ก็จะตั้งราคาขายเป็น
ราคาขาย = ต้นทุนรวมต่อชิ้น + (ต้นทุนรวมต่อชิ้น x %กำไร)/ 100
กำไรที่ต้องการ = 1,250 (ต้นทุน) x (30 / 100) = 375 บาท
ราคาขาย = 1,250 (ต้นทุน) + 375 (กำไร) = 1,625 บาท

7 เทคนิคการตั้งราคาในยุคสมัยใหม่

เทคนิคตั้งราคาสินค้า

ในการตั้งราคาสินค้า นั้นมีเทคนิคที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยวันนี้ Dermageneration จะมาแชร์ 7 เทคนิคในการตั้งราคาในยุคสมัยใหม่นี้

1. ตั้งราคาตามต้นทุน

การตั้งราคาตามต้นทุนนั้น เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้ราคามีความโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ว่าราคาสินค้านั้นไม่สูงเกินไป อาจคำนวณ วางแผนจากต้นทุนรวม เช่นเพิ่ม 20% 30% จากต้นทุนรวม เป็นต้น

2. ตั้งราคาตามคู่แข่ง

อีกหนึ่งเทคนิคคือการตั้งราคาตามคู่แข่ง โดยการวิเคราะห์และศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่งในตลาด ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับแบรนด์ของเรา ทำการปรับราคาให้สามารถแข่งขันได้ โดยไม่กระทบต่อกำไร และไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า

3. ตั้งราคาตามคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับ

ผู้บริโภคหรือลูกค้า ยินดีจ่ายในราคาที่สูงกว่า หากแบรนด์สร้างความเชื่อมั่นว่าได้รับคุณค่าและภาพลักษณ์ที่ดีกลับมาจากผลิตภัณฑ์ เช่น ใช้วัตถุดิบพรีเมียม นำเข้าจากต่างประเทศ บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือนวัตกรรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง

4. ตั้งราคาแบบยืดหยุ่น

เป็นเทคนิคการตั้งราคาที่นำข้อมูลเชิงลึก หรือ ใช้เทคโนโลยีอย่าง AI มาช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค ปรับราคาไปตามกระแสของตลาด หรือความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น เช่น การทำ Flash Sale เป็นต้น

5. ตั้งราคาพิเศษ และการจัดเข้าคู่ชุดพิเศษ

เทคนิคการตั้งราคาส่วนลดพิเศษ หรือการจัดชุดสินค้ารวมในราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่า เพื่อสร้างแรงจูงใจในการซื้อ อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าสามารถได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ ของเรา เพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำได้

6. ตั้งราคาสูงที่มาพร้อมกับความพิเศษ

เป็นเทคนิคสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเจาะกลุ่มตลาดบน ที่เน้นความหรูหรา นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล รวมถึงสร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น บรรจุภัณฑ์ที่สามารถปรับแต่งได้เฉพาะสำหรับคุณ หรือบริการวิเคราะห์ผิวฟรี เป็นต้น

7. ตั้งราคาสมาชิก

เทคนิคสุดท้าย เป็นการตั้งราคาสมาชิก ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนสำคัญ โดยการมอบสิทธิพิเศษแค่เฉพาะสมาชิก เช่น ลดราคา 10-20% หรือการจัดส่งฟรี เพื่อให้เห็นถึงความคุ้มค่า ส่งผลต่อการเพิ่มความถี่ในการซื้อซ้ำสำหรับสินค้าเครื่องสำอางที่ต้องใช้เป็นประจำทุกวัน เช่น สกินแคร์ เมคอัพ เป็นต้น

แชร์ข้อควรระวังในการตั้งราคาเครื่องสำอาง ในปี 2025

การตั้งราคาเครื่องสำอาง มีข้อควรระวังด้วยเช่นกัน เพราะในยุคสมัยใหม่ที่มีการแข่งขันสูง ผู้บริโภคมีการเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น ทำให้การตั้งราคานั้นต้องมีการวางแผนที่รอบคอบมากขึ้น โดยจะมาแชร์ข้อควรระวังในการตั้งราคาเครื่องสำอางในปี 2025 ดังนี้

  • การแข่งขันในด้านราคาที่สูง
    เนื่องจากตลาดเครื่องสำอางมีผู้เล่นใหม่เข้ามามากขึ้น ทั้งแบรนด์ในประเทศเอง หรือแบรนด์ต่างประเทศก็ตาม การแข่งขันด้านราคาไม่ควรตั้งที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียว เพราะอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และคุณภาพของแบรนด์ได้
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับมูลค่าของเงินมากขึ้น
    ในยุคที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น สามารถเปรียบเทียบคุณภาพ ราคา ก่อนการตัดสินใจซื้อได้ การสื่อสารกับลูกค้าเพื่อให้เห็นคุณค่าของแบรนด์และคุณภาพของสินค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
  • เน้นการสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่น
    สร้างความไว้วางใจต่อแบรนด์ ทั้งในเรื่องของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต รวมถึงการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ อีกทั้งการทำการสื่อสาร ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปด้วย สร้างความเชื่อมั่นได้ดี
  • การสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์
    การรักษาฐานลูกค้าในยุคที่การซื้อออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างมาก ที่ลูกค้าสามารถเปลี่ยนแบรนด์ได้อย่างง่ายเป็นเรื่องที่สำคัญ การตั้งราคาที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับคุณภาพ และการบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม สามารถช่วยได้
  • การแข่งขันที่สูงในตลาดออนไลน์
    การเติบโตของตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันกันด้านราคาที่รุนแรง เพราะฉะนั้นต้องมีกลยุทธ์ในการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น และพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
  • บทบาทของเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
    ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ หากมีข้อมูลในมือจะช่วยในการตั้งราคาที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มลูกค้าได้ หรือทำการทดสอบตั้งราคาที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำมาปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้า
  • ความต้องการที่มีเฉพาะกลุ่มของผู้บริโภค
    สามารถตั้งราคาได้สูง หากมีการผลิตเครื่องสำอางที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น
  • ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
    ผู้บริโภคในปี 2025 หันมาใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ อาจทำให้ต้นทุนในการผลิตแบบยั่งยืนนั้นสูงขึ้น ส่งผลต่อการตั้งราคาขายได้
  • สร้างความเชื่อมั่นด้วยความโปร่งใส
    การเปิดเผยข้อมูลของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ สารสกัด กระบวนการผลิต สามารถส่งผลต่อการรับรู้คุณค่าของแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และเกิดการยอมรับในราคาได้ เนื่องจากในยุคปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องความโปร่งใสมากขึ้น

สรุป

การตั้งราคาสินค้าเครื่องสำอาง เทคนิคคิดราคาที่ดึงดูดลูกค้าในปี 2025 นี้ควรเริ่มจากการคำนวณต้นทุนรวมอย่างรอบคอบ ทั้งต้นทุนภายใน และต้นทุนภายนอก เพื่อนำไปสู่การตั้งราคาที่เหมาะสม แต่ต้องสอดคล้องไปกับคุณค่าของแบรนด์ คุณภาพของสินค้า ภาพลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา สร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เพื่อแบรนด์เครื่องสำอางของเราที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต

เมื่อเข้าใจกลยุทธ์ในการตั้งราคาเครื่องสำอางแล้วนั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดแต่แรกก็คือการเลือกผลิตเครื่องสำอาง ที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่การหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการออกแบบแบรนด์ที่คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ที่แท้จริง

ที่ Dermageneration โรงงานรับผลิตครีม เครื่องสำอาง ที่ได้มาตรฐานสากล เราได้ให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงช่วยออกแบบสร้างแบรนด์ให้ตอบโจทย์ลูกค้า หากสนใจผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ตัวเอง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ โทร. 063 081 0630 หรือ Line : @dermageneration และFacebook : เดอร์มาเจเนอเรชั่น โรงงานรับผลิตครีม สกินแคร์ เครื่องสำอาง