ค่า PA ในครีมกันแดดคือ ทำไมสำคัญ

ค่า PA ในครีมกันแดดคืออะไร? ทำไมจึงสำคัญ แล้วค่า PA แต่ละค่ามีความแตกต่างกันอย่างไร?

ค่า PA ในครีมกันแดดที่มักจะพบเห็นการระบุบนผลิตภัณฑ์นั้น มีความสำคัญไม่แพ้กับค่า SPF ในครีมกันแดด แต่หลาย ๆ คนคงสงสัยว่าค่า PA ที่อยู่บนผลิตภัณฑ์นั้นคืออะไร ทำไมจึงสำคัญ แล้วแต่ละค่านั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างไรบ้าง Dermageneration จะพาไปหาคำตอบในบทความนี้พร้อม ๆ กัน

ค่า PA ในครีมกันแดดคืออะไร?

ค่า PA ในครีมกันแดด คือ

ค่า PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA คือ ค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVA โดยถูกคิดค้นริเริ่มมาจากสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นในปี 2006 โดยมีค่าระดับตั้งแต่ PA+ ไปจนถึง PA++++ ซึ่งจะเหมือนกับค่า PPD หรือ Persistent Pigment Darkening ที่เป็นค่าวัดประสิทธิภาพการปกป้องรังสี UVA ในครีมกันแดดจากยุโรป

ค่า PA มีกี่ระดับ? และแต่ละระดับความหมายว่าอย่างไร?

ค่า PA มีกี่ระดับ

ค่า PA ในครีมกันแดดนั้นหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ซึ่งแต่ละระดับนั้นมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

  1. PA+
    ค่า PA+ หมายถึง ค่าประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ระดับเริ่มต้น หรือเทียบกับค่า PPD ที่ระดับ 2-4 โดยค่า PA+ นั้นเหมาะกับผู้ที่อยู่ในร่ม ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือไม่โดนแสงแดดเลย
  2. PA++
    ค่า PA++ หมายถึง ค่าประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ระดับปานกลาง หรือเทียบค่า PPD ระดับ 4-8 จึงเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งแบบมีร่มเงา แดดไม่แรง มีความเข้มข้นของแสงแดดที่ต่ำ
  3. PA+++
    ค่า PA+++ หมายถึง ค่าประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ระดับสูง เมื่อเทียบเท่าค่า PPD ในระดับ 8-16 จึงเหมาะกับผู้ที่ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งแบบโดยแดดจัดเป็นเวลาไม่นาน และผู้ที่นั่งทำงานบริเวณริมกระจกที่มีแสงแดดส่องผ่านเข้ามา
  4. PA++++
    ค่า PA++++ หมายถึง ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ระดับสูงสุด เทียบเท่ากับค่า PPD ระดับ 16 ขึ้นไป ค่า PA++++ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งในที่แดดจัดแบบทั้งวัน ต้องโดนหรือสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง ดำน้ำ หรือไปทะเล เป็นต้น

ค่า PA แต่ละระดับมีความแตกต่างกันอย่างไร?

ค่า PA แต่ละดับ ต่างกันยังไง

จากการที่รู้ความหมายของค่า PA ไปแล้ว โดยจะเห็นว่าหลังค่า PA จะมีเครื่องหมายบวก (+) ต่อท้าย โดยสัญลักษณ์บวกนั้นคือจำนวนเท่าที่ครีมกันแดดจะปกป้องผิวจากรังสี UVA โดยแต่ละระดับนั้นจะมีความแตกต่างกันดังนี้

  • PA+ หมายถึง ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าผิวปกติถึง 2 เท่า
  • PA++ หมายถึง ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าผิวปกติถึง 4 เท่า
  • PA+++ หมายถึง ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าผิวปกติถึง 8 เท่า
  • PA++++ หมายถึง ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าผิวปกติถึง 16 เท่า

บทความแนะนำ ครีมกันแดด มีกี่ประเภท?

ทำไมค่า PA ในครีมกันแดดถึงสำคัญ?

ค่า PA ในครีมกันแดดทำไมถึงสำคัญ เพราะค่า PA ช่วยในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ที่เป็นตัวการทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ไปจนถึงทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

หากครีมกันแดดมีการระบุค่า PA อย่างชัดเจน ก็จะทำให้เราทราบถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในการช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA อีกทั้งช่วยทำให้เราตัดสินใจในการเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น

ค่า PA และ ค่า SPF แตกต่างกันอย่างไร?

ค่า PA (Protection Grade of UVA) คือ ค่าระดับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA และจะถูกระบุค่าความสามารถด้วยเครื่องหมายบวก (+) เช่น PA+, PA++, PA+++, PA++++ โดยสามารถปกป้องผิวไม่ให้ผิวเหี่ยวย่น ฝ้า กระ จากแสงแดด รวมถึงช่วยลดการเกิดมะเร็งผิวหนังได้

ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าบอกระดับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVB โดยจะระบุความประสิทธิภาพเป็นตัวเลข เช่น SPF15, SPF30, SPF50 เป็นต้น โดยสามารถป้องกันผิวไม่ให้เกิดรอยไหม้แดด ไม่ทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำ ระคายเคือง

ค่า PA ในครีมกันแดด เท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด ?

การเลือกค่า PA ในครีมกันแดด หรือแม้แต่การเลือกค่า SPF ไม่จำเป็นต้องเลือกระดับสูงสุดเสมอไป แต่ควรเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า PA หรือค่า SPF ที่เหมาะกับพฤติกรรมของการใช้ชีวิตในประจำวันดีที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น

หากทำกิจกรรมกลางแจ้งในที่แสงแดดจัด เป็นเวลานาน เช่น ไปทะเล ก็ควรจะเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า PA++++ และค่า SPF50+ เพราะจะได้ประสิทธิภาพในการปกป้องสูงสุด เพราะหากเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA หรือ SPF ต่ำกว่า อาจจะทำเกิดผิวไหม้แดด ฝ้า กระ รวมถึงริ้วรอยได้

ค่า PA สูง มีผลข้างเคียงต่อผิวอย่างไรบ้าง?

ค่าPA สูงมีผลข้างเคียงอย่างไร

ค่า PA ในครีมกันแดดที่สูง อาจจะส่งผลทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ แนะนำว่าไม่ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA สูง ๆ เสมอไป เพียงเลือกให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันก็เพียงพอแล้ว เช่น หากไม่ออกไปข้างนอก หรือไม่เจอแสงแดด ก็สามารถใช้ครีมกันแดดที่มี PA++ ก็เพียงพอต่อการป้องกันแล้ว

ใช้ครีมกันแดดที่มีแต่ PA โดยไม่มี SPF ได้ไหม?

ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีทั้งค่า PA และ SPF ควบคู่กันไปเสมอ เพราะในแสดงแดดนั้นมีทั้งรังสี UVA และ UVB เพื่อให้ผิวของเราถูกปกป้องจากทั้งสองรังสีนี้ได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด
และหากเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีแต่ค่า PA แต่ไม่มีค่า SPF ก็จะทำให้ผิวของเราไม่ได้รับการปกป้องจากรังสี UVB ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด ระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อนได้

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PA ในครีมกันแดด

ครีมกันแดดที่ระบุ SPF50 PA+++ คืออะไร? หมายความว่าอะไร?

ครีมกันแดด ที่ระบุ spf 50 PA+++ คือ

ครีมกันแดดที่มี SPF50 PA+++ หมายถึง ครีมกันแดดนี้มี SPF50 ที่มีความสามารถในการดูดซับรังสี UVB ได้ 98% และ PA+++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าผิวปกติ 8 เท่า

SPF 50 PA+++ อยู่ได้นานแค่ไหน
ครีมกันแดดที่มี SPF50 PA+++ นั้นสามารถปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ยาวนานประมาณ 8 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถทำประสิทธิภาพได้เต็ม 100% เพราะหากผิวสัมผัสน้ำ เหงื่อ หรือมลภาวะ ก็ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลงได้ จึงแนะนำว่าควรเติมครีมกันแดดหรือทาซ้ำระหว่างวันได้

ควรเติมครีมกันแดดที่มี PA บ่อยแค่ไหน?
โดยปกติแล้วควรเติมครีมกันแดดที่มี PA ซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง และหากมีการทำกิจกรรมที่ทำให้เสียเหงื่อ หรือทำให้ครีมกันแดดหลุด ก็สามารถทาซ้ำได้บ่อยยิ่งขึ้น

สรุปค่า PA ในครีมกันแดด

ค่า PA ค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVA ที่จะมีเครื่องหมายบวก (+) ต่อท้าย โดยค่า PA ช่วยในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ตัวการในการทำให้ผิวเหี่ยวย่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ค่า PA จึงมีความสำคัญไม่แพ้กับค่า SPF ในครีมกันแดดเลย

หากใครสนใจผลิตครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ PA ที่เหมาะสม และได้มาตรฐาน เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ Dermageneration โรงงานรับผลิตครีมที่มีมาตรฐานสากลรองรับ มีเครื่องมือและเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย ยินดีให้คำปรึกษา พร้อมพาแบรนด์คุณประสบความสำเร็จอย่างที่คุณต้องการ