เทรนด์ความงามยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ผลิตภัณฑ์ด้านความงามต่าง ๆ ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดฮิตของคนไทยก็คือ สกินแคร์ จึงเกิดผู้ประกอบการที่ต้องการทำ ธุรกิจสกินแคร์ ในปี 2568 กันมากขึ้น แล้วธุรกิจสกินแคร์ในปี2568มีอะไรน่าสนใจบ้าง ? ยังสามารถไปต่อได้หรือเปล่า ?
บทความนี้ เดอร์มาเจเนอเรชั่น จะพามาดูถึงภาพรวม ข้อดี ข้อเสีย และแนวทางในการหาโรงงานผลิตสกินแคร์ที่ควรรู้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในด้านนี้
รู้จัก! ธุรกิจสกินแคร์

ธุรกิจสกินแคร์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีศักยภาพในการเติบโตไปได้อีกในอนาคต ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปลักษณ์มากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และหัตถการด้านความงามเพิ่มสูงขึ้น ทั้งครีม เซรั่ม เครื่องสำอาง สปา และการทำศัลยกรรมความงาม เป็นต้น ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้ธุรกิจสกินแคร์เติบโตตามความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง
ธุรกิจสกินแคร์ในอดีต
ธุรกิจสกินแคร์ในอดีตจะเริ่มมาจากการเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในกลุ่มผู้ที่มีฐานะร่ำรวย เน้นความหอมและรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าประสิทธิภาพการเกิดผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มักทำมาจากวัตถุดิบตามธรรมชาติ เช่น ขมิ้น ตะไคร้ ใบมะกรูด ดอกไม้ ขี้ผึ้ง เป็นต้น เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีการผลิตสกินแคร์ในรูปแบบอุตสาหกรรมมากขึ้น ในช่วงแรกสกินแคร์จะยังไม่ผลิตตามสภาพผิวหรือปัญหาผิวเฉพาะจุด แต่หลังจากที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีการพัฒนาสูตรให้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวของผู้ใช้งานมากขึ้น
แนวโน้มการเติบโตของ Skincare business
แนวโน้มการเติบโตของSkincare businessในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 13% ในปี 2569 ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด 19 อย่างไรก็ตามธุรกิจสกินแคร์อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ทำให้ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก และอาจจะตามมาด้วยสงครามราคา ผนวกกับมีตลาดจีนเข้ามาในประเทศมากขึ้น จากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ที่ขายโดยผู้ผลิตจากประเทศจีนโดยตรง อาจทำให้กำไรของผู้ประกอบการในไทยได้กำไรลดลง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงกับความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ความงามที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการในไทยจะต้องปรับตัวรับมือให้ทัน
ธุรกิจสกินแคร์ในปัจจุบัน
ถึงแม้ธุรกิจสกินแคร์ในปัจจุบันจะมีการแข่งขันที่สูง แต่ด้วยคุณภาพของสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดทำให้แบรนด์สกินแคร์ในไทยทำยอดขายได้หลักพันล้านบาท โดยแบรนด์ที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2567 อยู่ที่ 27.19% หรือราว ๆ 296 ล้านบาท ดังนั้นหากทำสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้นวัตกรรมที่ทันสมัย ราคาจับต้องได้ และใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ จะยังสามารถเติบโตในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
ข้อดีของธุรกิจสกินแคร์ มีอะไรบ้าง?

- ตลาดสกินแคร์มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น
ธุรกิจความงาม เครื่องสำอาง รวมไปถึงสกินแคร์ในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มจะเติบโตสูงขึ้น สกินแคร์ไม่จำกัดใช้แค่เพียงผู้หญิงวัยทำงานเท่านั้น ในปัจจุบันทุกเพศทุกวัยล้วนสนใจในการดูแลผิวพรรณตัวเองมากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการสกินแคร์เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่วัยเรียนไปจนถึงผู้สูงอายุเลย และหากผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่ดีก็จะเกิดการใช้ซ้ำจากผู้บริโภคอีกด้วย
- สร้างรายได้ที่สูง
เมื่อสกินแคร์เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง โอกาสที่จะสร้างรายได้จากการจำหน่ายสกินแคร์ก็จะมากขึ้นตามยอดขายอีกด้วย
- ความหลากหลายทางผลิตภัณฑ์
ธุรกิจทางสกินแคร์มีความหลากหลายทางด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางจัดจำหน่าย ทำให้ผู้ประกอบสามารถขยายตลาดเพิ่มได้มากขึ้น
- มีโอกาสส่งออกไปขายที่ต่างประเทศ
สกินแคร์จากประเทศไทยเป็นที่นิยมในประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ทำให้มีโอกาสส่งออกต่างประเทศได้ หากสินค้ามีคุณภาพและได้มาตรฐาน
ข้อเสียของธุรกิจสกินแคร์ มีอะไรบ้าง?

- การแข่งขันสูง
แน่นอนว่าเมื่อSkincare businessมีแนวโน้มการเติบโตสูง ย่อมมีการแข่งขันสูงตามมาด้วย เนื่องจากปัจจุบันการสร้างแบรนด์ค่อนข้างง่าย และมีคนสนใจทำธุรกิจสกินแคร์เป็นจำนวนมาก จึงเกิดผู้ประกอบการมากขึ้นในตลาด ทางแบรนด์จึงต้องสร้างความแตกต่าง สร้างจุดขายเพื่อดึงลูกค้าให้มาใช้สินค้าของตัวเอง
- ใช้ต้นทุนในการสร้างแบรนด์สูง
ไม่ใช่ต้นทุนแค่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงต้นทุนทางเวลาที่ต้องใช้เวลาสร้างความเชื่อมันให้กับผู้บริโภค และต้องคอยปรับสูตร ค้นคว้าและวิจัยส่วนผสมใหม่ ๆ หรือบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ จากเทรนด์ Fast Beauty ที่ต้องคอยปรับตัวให้ทันตามกระแสอยู่ตลอดเวลา
แนวทางการหาโรงงานรับผลิตครีม สกินแคร์

- การผลิตที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล
โรงงานที่ผลิตสกินแคร์ จะต้องมีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐานในระดับสากล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสินค้าว่ามีความปลอดภัย พร้อมเข้าแข่งขันในตลาดได้ - ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของโรงงานที่ผลิต
ควรเลือกโรงงานที่รับผลิตผลิตภัณฑ์ความงามโดยเฉพาะ เนื่องจากโรงงานเหล่านี้จะมีผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์และเครื่องมือการผลิตที่เหมาะสม สามารถผลิตสกินแคร์สูตรต่าง ๆ ตามความต้องการของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้เลย - มีความยืดหยุ่นในการผลิตสินค้า
โรงงานที่สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายประเภท จะสามารถตอบโจทย์ตามความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ - มีใบรับรองและใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
การที่โรงงานมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ด้วย - มีบริการที่ครบวงจร
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ การที่โรงงานมีบริการด้านการปรึกษา การค้นคว้าและวิจัยสูตรสกินแคร์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงช่วยทำการตลาด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณไปหลายด้าน ทำให้มุ่งเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ของตนเองได้อย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้นการเลือกโรงงานผลิตสกินแคร์จะต้องคำนึงถึงมาตรฐานการผลิต ความเชี่ยวชาญของโรงงาน และความสามารถในการผลิตสินค้าได้หลากหลาย รวมไปถึงใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่โรงงานมีบริการแบบครบวงจรจะช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่สามารถสร้างแบรนด์สินค้าได้ง่ายขึ้น บทความแนะนำเพิ่มเติม สร้างแบรนด์ครีม ลงทุนเท่าไหร่? มีงบไม่มากแต่อยากสร้างธุรกิจทำได้หรือไม่ อัพเดท 2025
สรุป
ธุรกิจสกินแคร์ในประเทศไทยยังคงสามารถเติบโตได้อีก จากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้นในทุกเพศทุกวัย ถึงแม้จะมีการแข่งขันที่สูง แต่หากสินค้ามีคุณภาพและมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี ก็จะสามารถนำสินค้าเข้าสู่ตลาดได้ โดยเลือกโรงงานผลิตสกินแคร์ที่ได้มาตรฐาน มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าความงามโดยเฉพาะ และให้บริการครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่ายและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
ซึ่ง Dermageneration เป็นโรงงานผลิตสกินแคร์ที่มีครบทั้ง 5 องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้น พร้อมให้บริการผลิตสกินแคร์ได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การคิดค้นสูตรไปจนถึงช่วยทำการตลาด เพื่อให้แบรนด์สกินแคร์ของลูกค้าเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง