Stability Test คืออะไร ใช้วิธีอะไรบ้างในการทดสอบ

Stability Test คืออะไร ? ใช้วิธีอะไรบ้างในการทดสอบ ?

การที่จะออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหนึ่งชิ้น แน่นอนว่าต้องมีการ Research and Development หรือ R&D กันมาจนมั่นใจในผลิตภัณฑ์มาก ๆ แล้ว อีกหนึ่งกระบวนที่สำคัญไม่แพ้กับ R&D ก็คือ Stability Test ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตออกมา มีมาตรฐานเท่ากันตลอดอายุการใช้งาน โดยการทดสอบผลิตภัณฑ์ในหลากหลายภาวะ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้เครื่องสำอางได้อย่างปลอดภัย

Stability Test คืออะไร?

Stability Test คืออะไร

Stability Test หรือ การทดสอบความคงตัว เป็นการทดสอบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ถูกผลิตออกมาจัดจำหน่าย จะมีประสิทธิภาพที่ดีตลอดอายุการใช้งาน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพใด ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ที่อาจปนเปื้อนได้ เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้งานได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัยที่สุด

ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน เช่น อุณหภูมิ แสงแดด ความชื้น ค่า pH การเกิดปฏิกิริยาเคมีในผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

ประเภทของ Stability Test

ประเภทของStability Test

การทดสอบความคงตัวควรจะต้องใช้วิธีการทดสอบที่แตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง(เครื่องสําอาง มีอะไรบ้าง? อ่านทำความเข้าใจมากขึ้น) เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางชนิดมีการแยกชั้นได้ง่าย บางชนิดแยกชั้นได้ยาก แต่วัตถุประสงค์ของการทดสอบทุกสภาวะคือสร้างความมั่นใจให้แก่ผลิตภัณฑ์ว่ามีความปลอดภัยในการใช้งานเมื่ออยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน

การทดสอบความคงตัวสภาวะเร่ง

การทดสอบความคงตัวสภาวะเร่ง (Accelerated Shelf Life Test : ASLT) เป็นการคาดการณ์ความคงตัวของผลิตภัณฑ์ โดยใช้ระยะเวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ เนื่องจากอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสลายตัวของสารในผลิตภัณฑ์ ระหว่างการทดสอบจะมีการประเมินผลจากที่เห็นทางกายภาพ เช่น สี, กลิ่น, ค่า pH, การเปลี่ยนแปลงในภาชนะ, ความหนืด และน้ำหนัก เป็นต้น

การทดสอบความคงตัวในสภาวะเร่งจะใช้ 4 วิธี ดังนี้

  1. Heating – Cooling Cycle
    เป็นการทดสอบโดยการใช้อุณหภูมิสูงสลับต่ำ วิธีการคือนำผลิตภัณฑ์เก็บในตู้ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและตั้งเวลาได้ จะทำการทดสอบทั้งหมด 1-8 รอบ แต่ละรอบต้องประเมินผลการทดสอบทุกครั้ง
  2. Freeze – Thaw Cycle
    เป็นการทดสอบแบบการแช่แข็งและละลาย จะคล้ายกับการทดสอบแบบ Heating – Cooling Cycle แต่ใช้อุณหภูมิที่ติดลบ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์มีความทนในอุณหภูมิที่ติดลบหรือไม่ วิธีนี้จะดูความคงตัวของผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วกว่าการทดสอบแบบอื่น และจะพบปัญหาได้เร็วการทดสอบแบบอุณหภูมิคงที่ เหตุผลที่ต้องทดสอบวิธีนี้เพราะผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อมีการจำหน่ายในประเทศที่มีอุณหภูมิติดลบ ซึ่งตัวสินค้าจะต้องเผชิญกับอุณหภูมิและความดันระหว่างการขนส่งและเก็บรักษา ตัวอย่างปัญหาที่ตรวจพบ เช่น บรรจุภัณฑ์แตกร้าว, เกิดการกัดกร่อนภายในบรรจุภัณฑ์, ฉลากบนบรรจุภัณฑ์เลือนรางหายไป, ผลิตภัณฑ์ตกผลึก เป็นต้น
  3. อุณหภูมิเย็น
    เป็นการทดสอบโดยใช้อุณหภูมิต่ำ ผลิตภัณฑ์บางชนิดหากถูกเก็บในที่เย็นจะเกิดการตกตะกอนในอุณหภูมิต่ำ ถ้าเย็นมากน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งแยกชั้นออกจากน้ำมันได้ โดยการทดสอบนี้จะเก็บไว้ที่ตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 เดือน แล้วทำการประเมินผลทีละเดือน เช่น เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 เดือน จะเริ่มเก็บผลตั้งแต่วันที่เริ่มทดสอบ จากนั้นเก็บผลทุก ๆ เดือนจนครบ 3 เดือน เป็นจำนวน 4 ครั้งนั่นเอง
  4. อุณหภูมิร้อน
    เป็นการทดสอบที่มีผลต่อเนื้อผลิตภัณฑ์ โดยจะทดสอบที่อุณหภูมิ 37, 40 หรือ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1-3 เดือน ผลิตภัณฑ์ที่สามารถทนความร้อนได้ดีมักจะทนต่อสภาวะอุณหภูมิสูงได้ การทดสอบจะคล้ายกับการทดสอบสภาวะอุณหภูมิเย็นเลย เช่น เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 เดือน และเริ่มเก็บผลตั้งแต่วันแรกจนถึงเดือนที่ 3 เช่นกัน

โดยส่วนใหญ่โรงงานที่ผลิตเครื่องสำอางหรือเวชภัณฑ์ต่าง ๆ จะใช้การทดสอบความคงตัวสภาวะเร่ง เพื่อประเมินถึงประสิทธิภาพและวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ โดยดูการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏออกมา เช่น สี กลิ่น ค่า pH ความหนืด ความเป็นน้ำ เป็นต้น รวมถึงทดสอบการปนเปื้อนของเชื้อราหรือแบคทีเรีย เพื่อให้ผู้ใช้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยนั่นเอง

การทดสอบความคงตัวสภาวะปกติ

การทดสอบความคงตัวสภาวะปกติ (Room temperature Stability Testing) จะเป็นการทดสอบที่อุณหภูมิห้อง ค่อนข้างใช้เวลานานถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง แบ่งการทดสอบเป็น 2 แบบ ดังนี้

1. การทดสอบความคงตัวสภาวะปกติแบบระยะสั้น

เป็นการนำผลิตภัณฑ์เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งจะพบการเปลี่ยนแปลงน้อยในระยะเวลาเท่านี้หรือไม่พบการเปลี่ยนแปลงเลย ทำการทดสอบทั้งหมด 4 ครั้ง คือ วันที่เริ่มทดสอบ, ครบ 1 เดือน, ครบ 2 เดือน และครบ 3 เดือน

2. การทดสอบความคงตัวสภาวะปกติแบบระยะยาว

เป็นการนำผลิตภัณฑ์ไปทดสอบที่อุณหภูมิห้องตามอายุการเก็บรักษาจริงที่ 2 ปี เพื่อทดสอบว่ามีการคงตัวจริง โดยทดสอบกับเวลา 2 ปีจริง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง โดยทำการทดสอบทั้งหมด 4 ครั้ง ได้แก่ ครบ 6 เดือน, ครบ 1 ปี, ครบ 1 ปี 6 เดือน และครบ 2 ปี

การทดสอบความคงตัวด้วยแสง

การทดสอบความคงตัวด้วยแสง (Light Stability Testing) เป็นการใช้แสงที่มีผลต่อเนื้อผลิตภัณฑ์โดยตรง เช่นเดียวกับอุณหภูมิ แสงอาจทำให้ผลิตภัณฑ์มีสีเจือจาง กลิ่นเปลี่ยน สีก็เปลี่ยน หรือเกิดปฏิกิริยาเคมีบางชนิด ซึ่งบางชนิดจะสลายตัวหากโดนแสง โดยจะนำผลิตภัณฑ์ใส่ภาชนะที่มีสีใส กันน้ำได้ จากนั้นทำการทดสอบโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  • กลุ่มที่ 1 นำไปตากแดดเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • กลุ่มที่ 2 ตั้งไว้ที่ริมหน้าต่าง เป็นเวลา 3 เดือน
  • กลุ่มที่ 3 เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องและไม่มีแสง เพื่อใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ (control)

จากนั้นนำทั้งหมดมาประเมินผลว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่

เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินการทดสอบความคงตัว

เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินการทดสอบความคงตัวจะเป็นทางกายภาพ ได้แก่ กลิ่น สี เนื้อ ค่า pH การแยกชั้น ความหนืด เป็นต้น โดยจะบันทึกการประเมินผลเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงระดับการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

  • + หมายถึง เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
  • ++ หมายถึง เปลี่ยนแปลงมาก
  • 0 หมายความว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

หากมีการพบว่าผลิตภัณฑ์เกิดการแยกชั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ทางกายภาพที่ชัดเจน ภายในระยะเวลาทดสอบ จะถือว่าการทดสอบ ไม่ผ่าน (rejected) ทันที ควรทำการแก้ไขปรับสูตรให้ดียิ่งขึ้น เพื่อพร้อมทดสอบความคงตัวใหม่ เมื่อครบกำหนดการทดสอบ แล้วนำไปเทียบกับตัวควบคุม (control) การเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ยอมรับได้ ก็จะสรุปการทดสอบว่า ผ่าน (passed) จากนั้นจึงทำการกำหนดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์

เครื่องสำอางหมดอายุก่อนวันที่ระบุข้างฉลากได้ไหม

เครื่องสำอางหมดอายุก่อนวันที่ระบุข้างฉลากได้ไหม

เครื่องสำอางที่ยังไม่ได้ถูกเปิดจะมีคุณภาพและมีวันหมดอายุตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก แต่เมื่อถูกเปิดการใช้งาน ส่วนประกอบข้างในจะสัมผัสกับอากาศทำให้เริ่มเสื่อมสภาพ อาจหมดอายุเร็วกว่าวันที่ระบุไว้

การเก็บรักษาไม่ถูกวิธี เช่น เก็บไว้ในบริเวณที่มีความร้อน หรือ ความชื้นสูง จะทำให้เกิดเชื้อราและยีสต์ ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ไม่โดนแดดโดยตรง อุณหภูมิห้องไม่ควร 29 องศาเซลเซียส

การเก็บไว้นานเกินไป จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ส่งผลให้สีของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไป
ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เครื่องสำอางหมดอายุก่อนวันที่ระบุไว้ข้างฉลาก ดังนั้น ควรดูแลรักษาเครื่องสำอางให้ดี อ่านคำแนะนำและข้อปฏิบัติตามที่ฉลากระบุไว้ เพื่อที่จะได้ใช้เครื่องสำอางได้นานและปลอดภัยที่สุด

สรุป

การทดสอบความคงตัว มีจุดประสงค์ในการทดสอบว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะออกจำหน่ายมีประสิทธิภาพดีตลอดการใช้งานไหม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยจะแบ่งเป็น 3 วิธีในการทดสอบความคงตัวก็คือ การทดสอบความคงตัวสภาวะเร่ง, การทดสอบความคงตัวสภาวะปกติ และการทดสอบความคงตัวด้วยแสง หากไม่ผ่าน ก็ต้องกลับไปพัฒนาสูตรใหม่จากนั้นค่อยมาทดสอบความคงตัวอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นผู้ใช้สามารถมั่นใจได้เลยว่า ทุกสินค้าที่ถูกออกจำหน่าย ได้ผ่านการทดสอบความคงตัวมาหมดแล้ว มีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

สำหรับผู้ประการที่กำลังมองหาพาทเนอร์โรงงานผลิตเครื่องสำอางให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การคิดค้นสูตรไปจนถึงการทดสอบ Stability Test หรือ การทดสอบความคงตัว เพื่อให้ผู้ที่สนใจอยากมีแบรนด์สินค้าความงามของตัวเองแน่ใจได้ว่าสินค้าที่ถูกผลิตให้กับผู้บริโภคได้รับนั้นผ่านการทดสอบและปลอดภัยอย่างแน่นอน สามารถติดต่อโรงงานผลิตครีม Dermageneration